Image from Google (Chakk 2007) |
อันโบราณกาล มีเรื่องเล่าขานกันว่า ปลาอานน"หรือ"ปลาอานนท์"
นี่เป็นปลาที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยสร้างโลกใหม่ๆ เป็นปลาที่มีภาระหนักมาก เพราะจะต้องแบกน้ำหนักของโลกไว้" ปลาอานน มีร่างกายใหญ่โตโอฬารมากมาย เหลือคณา
เล่ากันว่าหากวัดความยาวของปลาอานนท์ นี้นับได้เป็นพันๆ โยชน์
ปลา อานน นิ่งสงบ และแบกโลกไว้ แต่อยู่มาก็อาจจะเกิดความเมื่อยขบ ก็เลยพลิกตัวบ้าง เพื่อเป็นการเปลี่ยนอิริยาบทที่ได้แบกโลกไว้ก็เลยทำให้เกิดแผ่นดินไหว
ภัยพิบัติเหนือผิวโลก ลมฟ้าแปรปรวน นี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว
ปลา หิมพานต์ มีปลาใหญ่ 7ตัว ชื่อตามลำดับไหล่ ติรณะ ติมิงคละ ตรปิงคละ อานนท์ นิรยะ อัชฌนาโรหะ และ มหาติมิ ปลาอานนท์
ชื่อลำดับที่ 4 ตัวใหญ่มาก หนุนชมพูทวีป เวลาแผ่นดินไหว
ผู้ใหญ่เคยเล่าว่าปลาอานนท์กระดิกตัว 7 ปลาผู้ยิ่งใหญ่ ตัวเล็กที่สุด ยาว 75 โยชน์
ตัวใหญ่ ยาวถึง 5 พันโยชน์ เวลากระดิกหาง ทะเลก็จะปั่นป่วนตีฟอง
ดังหม้อแกงเดือดไกลไปตั้ง 800 โยชน์ ที่น่าแปลกใจ จินตนาการโบราณ มีปลาใหญ่หนุนโลกอยู่ 7ตัว วันนี้ วิชาธรณีวิทยาพบว่า แผ่นดินที่เราอยู่บนเปลือกโลกต่อกันเป็นทอดๆ 8
แผ่น ลอยอยู่บนก๊าซที่เป็นของเหลว ใกล้เคียงกับปลาอานนท์ที่หนุนโลกอยู่
Image from Google |
มหานทีสีทันดร มหานที แปลว่า ห้วงน้ำใหญ่มาก สีทะ
แปลว่า ทำให้ทุกๆ สิ่งจมลง อันตระ แปลว่า ระหว่าง รวมความว่า มหานทีสีทันดร แปลว่า มหาสมุทรใหญ่ที่มีน้ำละเอียดไม่มีสิ่งใดลอยอยู่ได้ ล้อมรอบภูเขาสิเนรุไปจรดภูเขาจักรวาล น้ำในมหานทีสีทันดรที่ว่าไม่มีสิ่งใดลอยอยู่ได้นั้นเพราะเป็นน้ำทิพย์ ละเอียด แม้แต่หางนกยูงที่แสนจะเบาบางเมื่อตกลงไปยังไม่อาจจะลอยอยู่ได้ น้ำในนทีสีทันดรนั้นลึกมาก
บริเวณรอบเขาสิเนรุจะลึกที่สุด และลึกน้อยลงเมื่ออยู่ไกลออกไป โบราณว่าแผ่นดินไหวเพราะปลาอานนท์พลิกตัว ปลาอานนท์หรือปลาอานันทะที่ว่านี้เป็นปลาใหญ่อยู่ในมหานทีสีทันดร
ซึ่งนอกจากจะมีปลาอานนท์แล้วก็ยังมีปลาใหญ่อื่นๆ อีกรวม ๘ ชนิด คือ
ปลาติมิ ใหญ่ ๒๐๐ โยชน์
ปลาติมิงคละ ใหญ่ ๓๐๐ โยชน์
ปลาติมิติมิงคละ ใหญ่ ๔๐๐ โยชน์
ปลาติมิรมิงคละ ใหญ่ ๕๐๐ โยชน์
ปลาอานันทะ ใหญ่ ๑,๐๐๐ โยชน์
ปลาติมินทะ ใหญ่ ๑,๐๐๐ โยชน์
ปลาอัชฌาโรหะ ใหญ่ ๑,๐๐๐ โยชน์
ปลามหาติมิ ใหญ่ ๑,๐๐๐ โยชน์ ปลาทั้ง 7 นี้แต่ละตัวยาว 4,000,000
วา
ด้วย ความที่เป็นปลาตัวใหญ่มากนี่เอง เมื่อปลาติมิรมิงคละกระดิกหูเพียงข้างเดียวก็ทำให้น้ำกระเพื่อมไกลถึง ๕๐๐โยชน์ หรือเมื่อกระดิกหัวหรือกระดิกหาง น้ำก็จะกระเพื่อมไปไกล ๕๐๐โยชน์เหมือนกัน
ยิ่งถ้าถึงขั้นกระดิกหูพร้อมกันสองข้าง เอาหางฟาดน้ำ หรือส่ายหัวเล่นน้ำ
น้ำก็จะเป็นฟองเดือดพล่านไปไกลถึง ๗๐๐-๘๐๐ โยชน์เลยทีเดียว
ในคัมภีร์พระไตรปิฎกฝ่ายมหายานมีเรื่องราวของมหานทีสีทันดรละเอียดและแปลกออกไปอีกคือ บอกว่าน้ำในนทีสีทันดรที่อยู่ระหว่างเขาสัตตบริภัณฑ์นั้นเป็นน้ำต่างชนิดกัน ๗
อย่าง คือ ๑ น้ำนม ๒ น้ำนมส้ม ๓ น้ำเนย ๔ น้ำอ้อย ๕ น้ำเหล้า ๖ น้ำจืด ๗ น้ำเค็ม
เมื่อนับจากชั้นในไปชั้นนอกโดยลำดับ
มหานทีสันทันดรเป็นที่อยู่ของเทวดาจำพวกนาค เรียกว่า นาคเทวดา รวมทั้งนาคที่ไม่ใช่เทวดาด้วย ในคัมภีร์อรรถกถาพระไตรปิฎกไม่ได้พูดถึงเรื่องนาคกับครุฑรบกันเหมือนคัมภีร์ ทางศาสนาพราหมณ์ เพียงแต่พูดถึงนิดหน่อยว่าครุฑสามารถจับนาคได้ถ้าเป็นนาคต่ำศักดิ์
โดยเฉพาะนาคบนระลอกคลื่นอาจถูกพวกครุฑจับตัวได้ง่ายๆ
Image from Google |
จากวรรณกรรมนิราศนรินทร์คำโคลง
ยังมีบทประพันธ์ที่กล่าวถึงชื่อปลาหนึ่งในเจ็ดตัวนี้ ดังนี้
นทีสี่สมุทรม้วย หมดสาย
ติมิงคล์มังกรนาคผาย ผาดส้อน.....
ปลาอานนท์ ยังมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับตำนานไฟล้างโลกด้วย คือ เมื่อคนทั้งหลายทำบาป
ไม่รู้จักบุญไม่รู้จักกรรมอันใดทั้งสิ้น ดังในคำกาพย์เรื่อง พระไชยสุริยา
ของสุนทรภู่บรรยายไว้ว่า
ที่ซื่อถือพระเจ้า
ว่าโง่เง่าเต่าปูปลา
ผู้เฒ่าเหล่าเมธา ว่าใบ้บ้าสาระอำ
ภิกาสมณะ เล่าก็ละพระธรรม
คาถาว่าลำนำ ไปเร่ร่ำทำเฉโก
ลูกศิษย์คิดล้างครู ลูกไม่รู้คุณพ่อมัน
ส่อเสียดเบียดเบียนกัน
ลอบฆ่าฟันคือตัณหา
เมื่อ คนบาปทำบาปมากเข้า
ผลของบาปก็ทำให้เกิดความแห้งแล้งไปทั่ว ฝนไม่ยอมตก แสงแดดแผดจ้า
จนแหล่งน้ำทั้งหลายเหือดแห้งสัตว์น้ำต่างๆ พากันตายเกลื่อน
ต่อจากนั้นก็จะเกิดตะวันขึ้น 2 ดวง ดวงหนึ่งตก อีกดวงหนึ่งก็จะขึ้นมาแทน
ทำให้ไม่มีกลางคืน ความร้อนจะทำให้แห้งแล้งยิ่งขึ้น ผู้คนจะล้มตาย
และคนดีจะไปสู่สวรรค์ คนเลวก็ตกนรกไป
จากนั้นก็จะมีตะวันขึ้นเป็น 3 ดวง 4 ดวง และถึง 5 ดวง ทำให้แม่น้ำใหญ่ทั้ง 5 สระใหญ่ทั้ง 7 ป่าหิมพานต์แห้งเหือดไป ฝูงสัตว์น้ำตายสิ้น น้ำในมหาสมุทรขอดเหลือเพียงข้อมือเดียว และในไม่ช้าตะวันจะขึ้นเป็น 6ดวง น้ำในมหาสมุทรแห้งสิ้น ทั่วทั้งจักรวาลร้อนระอุเหมือนอยู่ในเตาเผา ในที่สุด ตะวันขึ้นเป็น 7 ดวง พญาปลาทั้ง 7ซึ่งอยู่ในทะเลสีทันดรทั้ง 7
ชั้นก็จะละลายไหลเป็นน้ำมันติดไฟลุกไหม้ขึ้น ดังประกาศ กล่าวถึงวันสิ้นโลกว่า
นานาอเนกน้าวเดิมกัลป์
จักร่ำจักราพาฬเมื่อไหม้
กล่าวถึงตะวันเจ็ดอันพลุ่ง
น้ำแล้งไข้ขอดตาย
เจ็ดปลามันพุ่งหล้าเป็นไฟ
วาบจตุราบายแผ่นขว้ำ
ชักไตรตรึงษ์เป็นเผ้า
แลบ่ล้ำสีละอง...
กล่าวกันว่าเมื่อไฟล้างโลกนั้น
ไฟจะไหม้ทั้งกามภูมิ 11 ชั้น คือ จตุราบายภูมิ มนุษยภูมิ ฉกามาพจรภูมิ และ พรหมโลก
รวมเป็น 14 ชั้น
ระยะ ไฟไหม้นั้นจะกินเวลานานถึงอสงไขย ทุกอย่างสิ้นหมดแล้วโลกก็รอเวลาสร้างขึ้นมาใหม่หมุนเวียนเปลี่ยนไปเป็นนิจนิรันดร์. (อสงไขยเป็นอนันตกาล)
เรื่องของโลก เรื่องของธรรม นั้นคล้ายกัน
โลกนี้มีการเปลี่ยนแปลงมานมนาน
ท่านพระอานนท์รับพระพุทธพจน์แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง (เรื่องโลกธาตุ)ว่า อานนท์
ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์แผ่รัศมี ส่องแสงทำให้สว่างไปทั่วทิศตลอดที่มีประมาณเท่าใด โลกมีเนื้อที่เท่านั้นจำนวน ๑,๐๐๐ใน ๑,๐๐๐ โลกนั้น มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ภูเขาสิเนรุ อย่างละ ๑,๐๐๐ มีชมพูทวีป
อปรโคยานทวีป อุตตรกุรุทวีป ปุพพวิเทหทวีปอย่างละ ๑,๐๐๐ มีมหาสมุทร มีมหาราช อย่างละ ๔,๐๐๐ มีสวรรค์ ๖ ชั้น และพรหมโลก ชั้นละ ๑,๐๐๐ นี้เรียกว่า
สหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุ (โลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล) ดังนี้แล
Image from Google กรณ์มงคล KunTum Korntaekhong |
ไม่มีความคิดเห็น:
ไม่อนุญาตให้มีความคิดเห็นใหม่