30.11.55

ตำนานพระคาถาอุณหิสสะวิชะยะ


Image from Google
                    สมัยหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จขึ้นไปจำพรรษาโปรดพุทธมารดาตลอด ๓ เดือน ในดาวดึงส์เทวโลก ประทับบนพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ใต้ต้นปาริฉัตร อันเป็นที่ประทับนั่งของสมเด็จอมรินทราธิราช จอมเทพสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทรงแสดงเทศนาสัตตปากรณ์ คือ พระอภิธรรมเจ็ดคำภีร์ แก่ทวยเทพเทวดา มีพระสิริมหามายาเทพธิดา พุทธมารดา เป็นประธาน
             ครั้งนั้น มีเทพบุตรตนหนึ่งนามว่า สุปติฏฐิตะเทพบุตรตนนี้ได้เสวยทิพยสมบัติอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แวดล้อมด้วยนางฟ้ามากมายเป็นบริวาร นางฟ้าเทพอัปสรเหล่านั้น บำรุง บำเรอ ขับร้อง ทำเพลงกล่อม สุปติฏฐิตะเทพบุตร เป็นนิจกาล
                        ถามว่า เทพบุตรตนนี้ ทำอะไรไว้ จึงได้เกิดเป็นเทพบุตร?
                  ตอบว่า ในครั้งก่อนเมื่อเป็นมนุษย์ในชาติสุดท้าย เทพองค์นี้ได้บริจาคทานอันเป็นวัตถุต่างๆ แก่ผู้มีพระคุณ และสมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เมื่ออาสันนะจิตใกล้มรณกรรมได้ระลึกถึง กุศลผลทานที่ได้ทำ ครั้นสิ้นชีวิตจึงได้อุบัติเป็นเทพบุตรเสวยสวรรค์สมบัติ มาช้านาน
                 ธรรมดาไม่ว่าเทวดา หรือมนุษย์ ที่มีความเป็นอยู่สบาย มักหลงละเลิงลืมแก่ ลืมตาย    ไม่คิดถึงอนิจจังของสังขาร สุปติฏฐิตะเทพบุตรตนนี้ก็เช่นกัน หารู้ไม่ว่า ในอีก ๗ วันจะถึงอายุขัย คือ จะจุติ (ตาย) จากเทวดึงส์เทวสถาน
                มีเทพบุตรตนหนึ่งนามว่า อากาสจารีเทพบุตรตนนี้หยั่งรู้ซึ่งสังขาร แห่งเทพยดาทั้งหลาย คือ รู้ว่าเทพยดาตนใดจะสิ้นอายุขัย หรือจุติ ครั้งนั้นอากาสจารีเทพบุตร เห็นสุปติฏฐิตะ หลงมัวเมา อยู่ในทิพยสมบัติ โดยไม่ทราบว่า ตัวจะจุติภายใน ๗ วันพลัดพรากจากสวรรค์สมบัติ และนางอัปสรแสนสวย ด้วยความรักเพื่อน จึงไปสู่วิมานของสุปติฏฐิตะเทพบุตร และบอกความนั้นตลอดบอกว่า เมื่อจุติจากสวรรค์แล้ว จะไปบังเกิดในอเวจีมหานรกถึงหมื่นปี พ้นจากอเวจีมหานรกแล้ว จะไปบังเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน คือ เป็นรุ้ง เป็นแร้ง เป็นเต่า เป็นปู เป็นหมู เป็นหมา เป็นเป็ด เป็นไก่ เป็นวัว เป็นควาย เป็นแพะ ครั้นพ้นจากกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้ว จะไปเกิดเป็นตนแต่ไม่เหมือนคนทั้งปวง จะวิปริตผิดมนุษย์ ตั้งแต่คลอดจากครรภ์มารดา เช่นหูหนวก-ตาบอดเป็นต้น
             สุปติฏฐิตะเทพบุตร ไดฟังอากาสจารีเทพบุตรบอกกล่าวดังนั้นแล้ว ก็ตระหนกตกใจกลัวเป็นอย่างยิ่ง ประดุจมฤชาติ เห็นพยัคฆ์อยู่ตรงหน้า มีกายสั่นไหวทุรนทุรายด้วยมรณภัย จึงคิดว่า ใครหนอจะเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้าและบัดนี้บุพนิมิตแห่งการจุติ ๕ ประการ ของเทพยดาก็ปรากฎแล้วคือ
๑. ดอกไม้ทิพย์เครื่องประดับองค์เหี่ยวแห้งโรยรา
๒. ผ้านุ่งผ้าห่มเศร้าหมอง
๓. เหงื่อไคลไหลชโลมกาย
๔. ที่นั่งที่นอนร้อนยิ่งนัก
๕. ร่างกายเหี่ยวแห้งทรุดโทรมคร่ำคร่า
              สุปติฏฐิตะเทพบุตร มีจิตสับสนตึงเครียดระส่ำระส่าย จึงคลาไคลไปสู่สำนักสมเด็จอมรินทราธิราช จึงกราบทูลเรื่องนี้ให้ทรงทราบ และขอพระราชทานให้ช่วยเหลืออย่าได้ตกอเวจีมหานรกเป็นต้น สักโก ตัง สุตฺวา เอวมาหะ สมเด็จอมรินทราธิราช(ท้าวสักกะหรือพระอินทร์) ได้สดับถ้อยคำของสุปติฏฐิตะเทพบุตรจนตลอดแล้ว ตรัสว่า ดูกรท่านผู้มีเกียรติ เรานี้แม้เป็นจอมเทพแห่งสวรรค์ชั้นนี้ เป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์โลกก็จริงแล แต่จะห้ามกันผลแห่งบาปกรรม ความชั่วช้าสามานย์ ของมนุษย์ เทวดาไม่ให้ตกนรก ไม่ให้เป็นเปรต และสัตว์เดรัจฉานหาได้ไม่ ยกเว้นแต่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระเมตตา มหากรุณาธิคุณ แก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ดูกรสุปติฏฐิตะเทพบุตร ท่านจงไปจัดแจงแต่งเครื่องสักการะบูชา ธูปเทียนดอกไม้ของหอม ให้เหมาะสม เราจะพาท่านไปเฝ้า พระบรมศาสดา ผู้มหากรุณาธิคุณ ซึ่งประทับอยู่ ณ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ใต้ต้นปาริฉัตร ที่ว่าราชการของเรา แล้วกราบทูลมูลเหตุแด่พระองค์ เห็นว่าน่าจะได้เป็นที่พึ่ง อันประเสริฐ
              เมื่อสมเด็จอมรินทราธิราช นำพาสุปติฏฐิตะเทพบุตร เข้าเฝ้าพระบรมศาสดาเฉพาะพระพักตร์ และกราบทูลความดังกล่าวมาข้างต้น เพื่อชี้แจงแสดงถึงบุพกรรมอันเป็นบาปอกุศล ของสุปติฏฐิตะเทพบุตร      ว่าได้ทำบาปกรรมอะไรไว้ในปางก่อนจึงต้องจุติจากสวรรค์ แล้วตกลงนรกเป็นต้น
              สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้สดับเทวบัญชาของสมเด็จอมรินทราธิราช ทูลอาราธนา จึงตรัสพระสัทธรรมเทศนา แสดงบุพกรรมของสุปติฏฐิตะเทพบุตรดังนี้
                       ๑. เทพบุตรตนนี้ในกาลอันไกล ได้เกิดเป็นคน ประกอบอาชีพเป็นพรานล่าเนื้อ ตั้งหน้าฆ่าสัตว์ ไม่เลือกชนิด มาเลี้ยงชีวิตครอบครัว ทำลายสัตว์ไร้ความปราณี ผลบาปกรรมนี้แหละจะซัดส่งจากสวรรค์ให้ลงไปทนทุกขเวทนาสาหัสในอเวจีมหานรก สิ้นกาลประมาณหมื่นปี พ้นจากอเวจีมหานรกแล้ว จะเกิดเป็นรุ้ง เป็นแร้ง หมักหมมด้วยคาวเลือด และน้ำเน่าจากศพสัตว์
                 ๒. สุปติฏฐิตะเทพบุตรตนนี้ เมื่อพ้นจากชีวิตรุ้ง แร้งแล้ว จะเกิดเป็นเต่า เป็นปูนั้น เพราะชาติก่อน เกิดเป็นมนุษย์ ทำบาปเลี้ยงชีพด้วยแสวงหาไข่เต่ามาขายเลี้ยงชีพ ผลกรรมนี้ต้องชดใช้
                    ๓. ข้อที่ว่า สุปติฏฐิตะเทพบุตร จะไปเกิดเป็นหมูนั้นเพราะแต่ปางก่อนเกิดเป็นเศรษฐีมีทรัพย์มาก แต่เต็มไปด้วยความตระหนี่ครอบง่ำในสันดานไม่ทำบุญสุนทรทาน แก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้าอนาถา ถ้าพระภิกษุมายืนบาตร ถึงหน้าบ้านเรือน ข้าวสุกสักหนึ่งทัพพี ก็ไม่ได้ตักบาตร ซ้ำบางที่ก็บริภาสด่าทอผู้ทรงศีลโดยอาการต่างๆ ซ้ำร้ายยังโกงภาษีที่พึงเสียแก่รัฐบาล เป็นคนเห็นแก่ตัวจัด ด้วยอกุศลกรรมนี้ จึงทำให้เกิดเป็นหมู อยู่ในที่สกปรกให้เขาฆ่า และมีอายุสั้นชาติแล้วชาติเล่า
              ๔. พ้นจากกำเนิดหมูแล้ว ไปเกิดเป็นหมา ด้วยเทพบุตรตนนี้ ครั้งเป็นมนุษย์ เมื่อหลายหมื่นปีก่อน เป็นคนอันธพาลสันดานหยาบ ลักเล็กขโมยใหญ่ งัดแงะนิสัยกระด้างขัดแข็ง เบียดเบียนสัตว์ติฉินนินทาว่าร้าย สมณชีพราหมณ์ผู้ทรงศีล อิจฉาริษยายุยงส่อเสียดเพื่อนบ้านให้แตกสามัคคี ไม่เคารพยำเกรงผู้เฒ่าผู้แก่ ลบหลู่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยบาปอกุศลกรรมนี้ จึงต้องไปบังเกิดเป็นหมาห้าร้อยชาติ
                      ๕. ครั้นพ้นจากชาติหมาแล้ว เทพบุตรตนนี้ไปบังเกิดเป็นมนุษย์เข็ญใจ แต่มีศรัทธา เที่ยวชักชวนชาวบ้านให้ไปฟังธรรมครั้นพระขึ้นธรรมาสน์กำลังแสดงธรรมชายผู้นี้หาฟังธรรมโดยความเคารพไม่กลับชักชวน คนอื่นสนทนา ด้วยเรื่องต่างๆเสียงดังลั่นกลบเสียงที่แสดงธรรม ด้วยผลแห่งอกุศลกรรมนี้ จึงส่งให้เทพบุตรตนนี้ต้องเกิดเป็นคนหูหนวก ๒ ชาติ
                 ๖. ครั้นเมื่อพ้นจากคนหูหนวกแล้ว ก็ไปบังเกิดเป็นคนตาบอดอีกหนึ่งชาติด้วย เหตุว่า เทพบุตรตนนี้เมื่อเป็นมนุษย์ในกาลก่อน เป็นคนมีฐานะทางเศรษกิจดีแต่เป็นคนลืมตน ชอบดูถูกดูหมิ่น คนที่มีทรัพย์น้อยกว่าตน ขาดความเคารพ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เห็นสมณชีพราหมณ์ ยาจกเข็ญใจ เหมือนไม่ใช่คน เช่นเมื่อพระไปบิณฑบาตรหน้าเรือนตน ก็กระทำเหมือนไม่เห็น จะให้ก็ไม่พูด จะไม่ให้ก็ไม่พูด เมินเฉยเสีย ด้วยอกุศลกรรมนี้ สุปติฏฐิตะเทพบุตร ต้องชดใช้หนี้กรรม เป็นคนตาบอดอีกหนึ่งชาติ
               ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเทศนาบุพกรรมเก่าของสุปติฏฐิตะเทพบุตรจบลง ท้าวมัฆวาน         อมรินทราธิราช จึงกราบทูลถามสิ่งอันพอเป็นที่พึ่ง แก่สุปติฏฐิตะเทพบุตรมีหรือไม่
               สมเด็จพระบรมศาสดา จึงตรัสพระคาถา อุณหิสสวิชัยให้ทวยเทพผู้ประสงค์จะเจริญอายุ และด้วยพระคาถานี้ ที่สุปติฏฐิตะเทพบุตรได้สดับ และปฏิบัติตน ทั้งที่รู้ว่า ๗ วันจะจุติ ก็สามารถมีชนมายุยืนอยู่ในสวรรค์ ได้อีกหนึ่งพุทธันดร
               ท่านสาธุชนทั้งหลาย ฟังแล้ว จงทำอุตสาหะ จดจำ ท่องบ่นสาธยายกันเถิด จะทำให้เกิดมีอายุวัฒนาถาวร ต้องไม่ถึงแก่ความตายด้วยอกาลมรณะ คือ ยังไม่ถึงตายในเวลาอันไม่สมควร

อุณหิสสะวิชะยะคาถา (ท่องนะโม 3 จบ)
อัตถิ อุณะหิสสะ วิชะโย ธัมโม โลเก อะนุตตะโร สัพพะสัตตะหิตัตถายะ ตัง ตะวัง คัณหาหิ เทวะเต ปะริวัชเช  ราชะทัณเฑ อะมะนุสเสหิ ปาวะเก พะยัคเฆ นาเค วิเส ภูเต อะกาละมะระเณนะวา สัพพัสะมา มะระณา มุตโต ฐะเปตะวา กาละมาริตัง ตัสเสวะ อานุภาเวนะ โหตุ เทโว สุขี สะทา สุทธะสีลัง สะมาทายะ ธัมมัง สุจะริตัง จะเร ตัสเสวะ อานุภา    เวนะ โหตุ เทโว สุขี สะทา ลิกขิตัง จินติตัง ปูชัง ธาระณัง วาจะนัง คะรุง ปะเรสัง เทสะนัง สุตะวา ตัสสะ อายุ ปะวัฑฒะ ตีติ

คำแปล พระคาถาอุณหิสสวิชัย มีดังนี้
                “อันว่าธรรมะ ที่จะห้ามกันมรณะภัยทั้งหลาย ชื่อว่าอุณหิสสวิชัยประเสริฐยิ่งนัก มีอยู่เพื่อประโยชน์เกื้อกูล แก่สรรพสัตว์. ดูกร ท่านสุปติฏฐิตะเทพบุตร และเทวดาทั้งหลายบรรดาที่ประชุมในที่นี้ ท่านจงเล่าเรียน จดจำ สาธยาย และกระทำตามพระธรรมที่ชื่อว่า อุณหิสสวิชัย ซึ่งอาจห้ามกันเสียซึ่งอกาลมรณะ ทั้งอาจล่วงพ้นจาก อาชญาของบ้านเมือง มนุษย์ อมนุษย์ ไม่อาจปองประทุษร้ายได้ ไฟปกติ ไฟฟ้าก็ไม่อาจเผาพลาญได้ ช้าง เสือ สัตว์ทั้งหลายอื่นที่มีพิษ ไม่ว่างูเล็ก งูใหญ่ ตะขาบ แมงป่อง แมลงพิษทั้งหลาย ก็ไม่อาจทำอันตรายจะไม่ตายเมื่อไม่ถึงเวลา ย่อมพ้นจากมรณกรรมทั้งปวง ยกเว้น กาลมรณะ คือ ถึงเวลา กายทรุดโทรมแก่สิ้นไป ตามไตรลักษณ์ ด้วยอานุภาพแห่ง พระอุณหิสสวิชัยนี้ขอให้ สุปติฏฐิตะเทพบุตร และทวยเทพทั้งหลาย จงมีความสุขทุกเมื่อ จงสมาทานศีลให้บริสุทธิ์ แล้วประพฤติธรรมให้สุจริต คือ มีกาย วาจา ใจ หรือ กายกรรม๓ วจีกรรม๔ มโนกรรม๓ ให้สุจริตไม่ผิดธรรม ด้วยผลสมาทานศีล ประพฤติธรรม ขอความสุขจงมีแก่ท่านทั้งหลายในทุกกาลทุกเมื่อ อนึ่งพระอุณหิสสวิชัย ผู้ใดเขียนไว้ก็ดี นึกอยู่ในใจก็ดี ทำสักการะบูชาก็ดี ท่องบ่นทรงจำไว้ก็ดี หรือได้สวดภาวนาเช้า-ค่ำก็ดี หรือได้สดับรับฟังพระธรรมเทศนาอันผู้อื่นสำแดงก็ดี ล้วนล้วนสามารถคุ้มครองป้องกัน อกาลมรณะ ไม่ต้องตายในวัยเด็ก วัยหนุ่ม วัยสาว และมีอายุยืนยาวถึงแก่เฒ่า มีสติไม่หลงตาย

สาธุ




                    

13.11.55

ถ้อยคำแห่งปราชญ์ วาทะแห่งบัณฑิต

Image from Google
- ทุกสรรพสิ่งมี 3 สิ่งที่เที่ยงแท้ คือ "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป" เป็นธรรมดา (พระพุทธเจ้า)

- เจดีย์สูงเสียดฟ้า เริ่มจากอิฐเพียงก้อนเดียว

- สิ่งที่อ่อนที่สุดในโลก ย่อมกำราบสิ่งที่แข็งที่สุดในโลกได้ ในโลกนี้น้ำอ่อนที่สุด แต่ย่อมทำลายสิ่งที่แข็งที่สุดได้ 
   ลักษณะเลิศของความดีก็เหมือนน้ำ เพราะน้ำมีคุณแก่สิ่งทั้งปวง จงตอบแทนความเลวร้ายด้วยความดี

- ความทุกข์ที่เกินทน จะหลอมคนให้ทนทาน   ความสบายที่ยาวนาน จะรอนรานความเป็นคน

- ชมคนด้วยวาจา...มีค่ายิ่งกว่ามอบไข่มุกให้เป็นของขวัญ  ทำร้ายคนด้วยวาจา...สาหัสยิ่งกว่าทิ่มแทงด้วยหอกดาบ

- น้ำใสสะอาดเกินไป...ย่อมไร้ซึ่งมัจฉา คนที่เข้มงวดเกินไป......ย่อมไร้ซึ่งบริวาร

- พูดมากเสียมาก พูดน้อยเสียน้อย ไม่พูดไม่เสีย นิ่งเสียโพธิสัตว์ (หลวงปู่ทวด)

- คนฉลาด ไม่ใช่แค่.."ฉลาดพูด"..เท่านั้น ต้อง.."นิ่ง"..เป็น ต้องรู้..ในสิ่งที่ไม่ควรพูด ให้ยิ่งกว่า..สิ่งที่ควรพูด

- รู้ก็ต้องบอกว่ารู้ ไม่รู้ก็ให้บอกว่าไม่รู้ นั่นแหละคือคนฉลาด

- คนคำนวณหรือจะสู้ ฟ้าลิขิต

- ถ้าคุณทำงานอย่างหนัก คุณก็จะร่ำรวย แต่ถ้าคุณทำงานอย่างทาส คุณก็จะร่ำรวยที่สุด

- ที่ใดมีจุดจบ ที่นั่นก็ย่อมมีการเริ่มต้นใหม่เสมอ

- พลาดเพราะการตัดสินใจ ดีกว่าพลาดเพราะไม่กล้าตัดสินใจ

- วันนี้อาจเป็นดินที่ไร้ค่า วันข้างหน้าอาจเป็นฟ้าที่ยิ่งใหญ่

- จบปริญญาถ้าคิดจะเป็นลูกจ้าง ก็เป็นได้แค่ลูกจ้าง แต่ถ้าจบ ป.4 ถ้าคิดจะเป็นเจ้าของกิจการก็จะได้เป็นเจ้าของกิจการ

- เดินทางหมื่นลี้ ย่อมต้องมีก้าวแรกเสมอ

- สายบัวบอกลึกตื้นชลธาร มารยาทบอกสันดานชาติเชื้อ

- การกระทำตัดสินเรา เท่าๆกับที่เราตัดสินใจกระทำ

- อยู่กับคนจงระวังความคิด อยู่กับมิตรจงระวังคำพูด

- มีเงินหมื่นล้าน ก็ซื้อเมื่อวานกลับมาไม่ได้

- ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว

- เป็นคนฉลาดที่รู้จักกลัว ดีกว่า เป็นคนโง่ที่กล้า

- กล้าที่จะล้มเหลว เพราะความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ

- เรียนรู้มารยาท จากผู้ไร้มารยาท

- ต้นทุนอาจมีเท่ากัน แต่การตามจนทัน เกิดขึ้นได้

- คนธรรมดาเรียนรู้จากคนเก่ง คนเก่งเรียนรู้จากคนมีปัญญา คนมีปัญญาเรียนรู้จากทุกๆคน

- เพราะแสวงหามิใช่รอคอย เพราะไขว่คว้ามิใช่รอโอกาส เพราะความสามารถมิใช่โชคช่วย  ดังนี้แล้ว 
   "ลิขิตฟ้า ฤาจะสู้ มานะตน"

- เป็นหัวสุนัข ย่อมดีกว่าเป็นแค่หางเสือ

- ความกลัวทำให้ถูกขัง ความหวังทำให้เป็นอิสระ

- เดินทางไกลหมื่นลี้ ย่อมดีกว่านอนกอดตำราหมื่นเล่ม

- จงทำตัวเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์พืช อยู่ที่ไหนก็ต้องเกิด

- จงมองไปข้างหน้าเพื่อก่อความหวัง จงมองไปข้างหลังเพื่อแก้ความผิด ถ้าไม่มีความหวังก็เหมือนคนสิ้นคิด 
   ถ้าไม่มีความผิดก็เหมือนไม่ใช่คน

- โลกนี้จะไม่พินาศด้วยน้ำมือของคนชั่ว แต่มันจะพินาศด้วยน้ำมือของคนที่ได้แต่มอง 
   แล้วไม่คิดจะทำอะไรเลยต่างหาก

- ถ้าคน 2 คนมีสิ่งของที่ชอบคนละหนึ่งอย่าง เมื่อแต่ละคนเบื่อสิ่งนั้นแล้วก็เอามาแลกกัน เขาจะได้สิ่งของกลับไป
  คนละอย่าง...แต่ถ้าคน 2 คนมีความคิดดีๆ คนละหนึ่งอย่าง แล้วนำมาแลกกัน เขาจะได้ความคิดดีๆ 
  กลับไปคนละ 2 อย่าง

- คนบางคนเป็นแค่ใครคนหนึ่งบนโลกนี้ แต่ใครบางคนเป็นโลกทั้งใบของคนอีกคน

- ความห่างไกลสอนให้ใจคิดถึง ความรำพึงจะสอนตอนห่วงหา ความเชื่อใจจะสอนตอนนินทา แต่ความกล้า 
   จะสอนตอนเรากลัว

- รู้น้อย แล้วปฎิบัติ ย่อมดีกว่ารู้สารพัด แล้วอยู่เฉย

- "เราไม่ต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ก่อน...ถึงจะเริ่มทำอะไรก็ตาม แต่เราควรเริ่มทำอะไรก็ตาม...เพื่อเป็นผู้ยิ่งใหญ่"

- เหล็กกล้าถูกหลอมละลายด้วยไฟ แต่จะแข็งแกร่งด้วยความเย็น

- ขวานด้ามเล็กๆ หากฟันอย่างนับครั้งไม่ถ้วน ก็สามารถโค่นล้มต้นไม้ ต้นใหญ่ๆได้เช่นกัน

- "ถ้าทำอะไรดีๆ แล้วคนมองว่าสร้างภาพ ก็ช่างเขา...อย่างน้อยเราก็ได้ทำดี ไม่เหมือนเขาที่แค่คิดดี
   ยังทำไม่ได้เลย" (ว. วชิร เมธี)

- "วิทยปัญญาจะเกิดขึ้นในหัวใจผู้นอบน้อมถ่อมตน แต่จะไม่เกิดขึ้นในจิตใจของผู้ทะนงตน ดังเช่น
   พืชผักย่อมงอกเงยใน    แปลงเพาะปลูกฉันใด ก็จะไม่งอกเงยบนลานหินที่แห้งแล้งฉันนั้น"

- "จงเป็นเพียงคนธรรมดา แต่เป็นส่วนหนึ่งที่มีค่าของสังคม"

-"ความก้าวหน้าเกิดไม่ได้....หากไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง และคนที่เปลี่ยนทัศนคติไม่ได้...
  ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย"

- "จงจำไว้เสมอว่า คุณไม่เคยเป็นที่ 1 แต่คุณคือ 0 เพราะ 0 มาก่อน 1 เสมอ" (สตีฟ จ็อปส์)

- "เมื่อคุณก้าวผิดพลาด คุณอาจตั้งตัวใหม่ได้ในไม่ช้า แต่ถ้าคุณกล่าว 'วาจา' ผิดพลาด คุณอาจต้องเสียใจ
   ไปตลอดชั่วชีวิต" (เบนจามิน แฟรงคิน)

- "ผมไม่กลัวคนที่เตะได้ 1 หมื่นครั้งใน 1 วัน แต่ผมกลัวคนที่เตะวันละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 1 หมื่นวัน" (บรูซ ลี)

- 4 สิ่งในโลกนี้ที่เงินตรามิอาจซื้อได้คือ "ความรัก เวลา ชีวิต และมิตรแท้"

- ผู้รอบรู้มักถ่อมตน ผู้โง่เขลามักหยิ่งยะโส

- การให้โอกาสคนอื่นแก้ตัว แท้จริงแล้วคือ การให้โอกาสตัวเองได้ฝึกการให้อภัย

- "เราจะลูบผมสวยของเด็กคนนั้นไหม ถ้าเรารู้ว่าเขาคือคนแคระ
    เราจะขำคนที่แต่งตัวเชยไหม    ถ้าเรารู้ว่าเขามีชุดเก่งแค่ชุดเดียว
    เราจะหมั่นไส้ลุงที่ทำตัวหนุ่มฟ้อหัวเราะดังลั่นคนนั้นไหม ถ้าเรารู้ว่าแกเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย
    เรารู้แจ่มชัดเสมอ ว่าชีวิตเรากำลังเจออะไร แต่เราไม่มีวันรู้ว่าคนที่เราเจอ กำลังเจอกับอะไร
    โลกนี้กว้างกว่าเงาของเรา และโลกนี้ก็ไม่ได้หมุนรอบตัวเรา

- ถ้าคุณไม่ชอบสิ่งใดให้เปลี่ยนมัน ถ้าคุณเปลี่ยนมันไม่ได้ให้เปลี่ยนความคิดที่มีต่อสิ่งนั้น

- สิ่งที่เราชอบ คนอื่นอาจไม่พอใจ สิ่งที่คนอื่นไม่ถูกใจ อาจเป็นสิ่งที่เราชอบ
  สิ่งที่เราอยากรู้คำตอบ คนอื่นอาจไม่อยากให้ถาม
  สิ่งที่คนอื่นตั้งคำถาม อาจเป็นสิ่งที่เราไม่อยากตอบ

- เราอาจเสียใจเพราะคำพูดของคน แต่อย่ายอมเสียคนเพียงเพราะคำพูดของใคร

- ปัญญา ระดับต่ำ ชอบคุยเรื่อง"ผู้อื่น"
  ปัญญา ระดับกลาง ชอบคุยเรื่อง"เหตุการณ์"
  ปัญญา ระดับสูง ชอบคุยเรื่อง"แนวคิด"

- สามสิ่งที่น่าเสียใจในชีวิต
  หนึ่ง พบครูดี แล้วไม่เรียน
  สอง พบเพื่อนดี แล้วไม่คบ
  สาม พบโอกาส แล้วไม่คว้าเอาไว้

- บางคนเข้ามาในชีวิตเพื่อให้ "ของขวัญ" แต่ในขณะเดียวกันก็มีบางคนเข้ามาในชีวิตเพื่อให้ "บทเรียน"

- ค่าของคนอยู่ที่ความเมตตากรุณา รักคนได้หนึ่งคนคือคนดี รักได้ล้านคนเป็นมหาราชา รักได้ทั้งโลกคือพระเจ้า 
   รักได้ทุกสรรพชีวิตเป็นพระบุดดา

- กองทัพแกะที่มีสิงโตเป็นผู้นำ สามารถที่จะเอาชนะกองทัพสิงโตที่มีแกะเป็นผู้นำได้

- หากเราเชื่อว่าตนเองมีพลังที่ยิ่งใหญ่ ความเชื่อนั้น จะทำให้ตัวเรายิ่งใหญ่ตามที่เราคิด

- นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ (ขงเบ้ง แม่ทัพแห่งสามก๊ก)

- เวลาที่มีค่ามากที่สุด คือ เวลาที่น้อยที่สุด

- อย่าดึงคนอื่นต่ำ เพื่อทำให้เราสูง

- เมื่อโกรธจัดอย่าเพิ่งตอบข้อความใคร เมื่อดีใจอย่าเพิ่งให้สัญญา เมื่อเศร้าหนักหนาอย่าเพิ่งตัดสินใจ (เล่าจื้อ)

- ได้พรมอย่าลืมเสื่อ ได้เสื้ออย่าลืมใส่ ได้เป็นใหญ่อย่าลืมตัว

- 'ความรู้สร้างปาฏิหาริย์ได้ ทำสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ให้เกิดขึ้นได้'
  'ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่ซันซ้อนก็สร้างมาจากทราย บ้านราคานับล้านก็สร้างมาจากทราย   
   ทรายสิ่งที่ดูเหมือนไร้ค่าก็สามารถเปลี่ยนให้เป็นของที่มีมูลค่าสูงได้'

- "หากปราศจากความทะเยอทะยาน คุณก็จะไม่มีพลัง  หากปราศจากพลัง คุณก็จะไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย
  ไม่มีสิ่งที่ยิ่งใหญ่ใดๆในโลก ที่ประสบความสำเร็จได้โดยปราศจากความทะเยอทะยาน" โดนัลด์ ทรัมป์


- "คนฉลาดไม่เคยร้องไห้หาสิ่งที่สูญเสียไป แต่เขาจะหาวิธีปรับแต่งแก้ไขความเสียหายนั้นอย่างร่าเริง" 
   วิลเลียม เช็คเสปียร์

- ข้าพเจ้าจะรักแสงสว่างเพราะมันทำให้เห็นทาง แต่ข้าพเจ้าจะอดทนต่อความมืด 
   เพราะมันทำให้มองเห็นดวงดาว  Og Manidno

- เพื่อนบางคนคุยได้ แต่ไม่เหมาะกับการคบหา (Korn by Korn)

- หากวันนี้.. คุณยังไม่ “รวยพอ” ลองหมุนคอไปดูเด็ก ที่ “ขอทาน” หากยังบ่นไม่สวยหล่อ ทรมาน 
   ให้มองดู “คนพิการ” ที่คลานเดิน

- "อยู่ป่ากับนักปราชญ์  ดีกว่าอยู่ปราสาทกับคนโง่" (Korn by Korn)

- “ทำในสิ่งที่คุณสามารถจะทำได้ พร้อมกับสิ่งที่คุณมีและที่ที่คุณอยู่” 

- อย่ารอจนกว่าปัจจัยต่างๆจะพร้อมสำหรับการเริ่มต้น  เพราะการเริ่มต้นต่างหาก ที่จะทำให้ปัจจัยทุกอย่างพร้อมเอง

- “การที่คุณเกิดมาลำบากไม่ใช่ความผิดของคุณ แต่การที่คุณตายอย่างแร้นแค้นนั่นหละคือความผิดของคุณ” บิล เกตส์

- "คนมากมายอยากจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้แต่มีคนเพียงน้อยนิด ที่คิดเปลี่ยนแปลงตนเอง" ลีโอ ตอลสตอย

- "ผู้ใดที่ไม่สามารถเป็นผู้ตามที่ดีได้ ก็คงจะไม่สามารถเป็นผู้นำที่ดีได้เช่นกัน"  (Korn by Korn)

"วิธีที่ถูกกติกา ควรใช้กับคนที่อยู่ในกติกาเดียวกันเท่านั้น" -Korn by Korn

- "อย่าเชื่อว่าทำไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้ทำ" -อ.สมคิด-

- "ฉลาดแต่เข้าข้างคนผิด ชีวิตก็บัดซบ ฉลาดแต่เข้ากับใครไม่ได้ก็ไร้ประโยชน์ 
     ฉลาดแต่ขาดคุณธรรมก็ไม่ทำให้เจริญ" -ขงเบ้ง-

- “โชค” คือการบรรจบกันระหว่าง“โอกาส” และ “ความพร้อม” -ตัน ภาสกรนที-

- "การทำผิด เกิดขึ้นกับทุกคน แต่การ สำนึกตน เป็นเรื่องของบางคนที่ คิดได้" 

- "การกระทำทุกอย่างของเรามีความเสี่ยง แต่การไม่ทำอะไรเลยก็มีความเสี่ยงเหมือนกัน"

- "ความอดทนเป็นสิ่งที่มีรสขม แต่ผลของมันช่างหอมหวานนัก"

- "ไม่มีความผิดใดมหันต์ เท่ากับการแสร้งว่าทำถูกต้องตลอดเวลา"

- "ความเลวที่พ่อแม่กระทำ อาจกลายเป็นมรดกกรรมของบุตรธิดา" -ว.วชิรเมธี- 

- "หน้าที่ของสติปัญญา คือการแยกให้ออกระหว่าง ความดี กับ ความชั่ว" -ซิเซโร-

- "อย่ารอจนกว่าปัจจัยต่างๆ จะพร้อมสำหรับการเริ่มต้น เพราะการเริ่มต้นต่างหากที่จะทำให้ปัจจัยทุกอย่างพร้อมเอง"

- "สิ่งที่ไม่ได้เริ่มต้นในวันนี้ ก็จะไม่มีทางสำเร็จในวันพรุ่งนี้เช่นกัน"

"อย่าอิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา" -โน๊ต อุดม-

"ความคาดหวังเป็นรากฐานของความโศกเศร้าทั้งมวล"

- "บุรุษเหนือบุรุษย่อมถ่อมตนในวาจา แต่ล้ำหน้าในการกระทำ" -ขงจื๊อ-

- "ทัศนคติ คือสิ่งเล็กน้อยที่สร้างความแตกต่างอันใหญ่ยิ่ง"

- "รู้ความจริงเพียงด้านเดียว ถือว่าไม่รู้จริง รู้ความจริงทุกด้านแต่เลือกเชื่อเพียงด้านเดียวถือว่าใจแคบ" -ขงเบ้ง-

- "ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ขอเพียงจับหนูได้ก็คือแมวที่ดี" -เติ้งเสี่ยวผิง-

- "หัดเป็นคนดี แต่อย่าหัดเป็นผู้ดี" Korn by Korn

- "ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่า แม้แต่คนโง่ที่สุดยังฉลาดในบางเรื่อง และคนฉลาดที่สุดยังโง่ในหลายเรื่อง"

- "วิธีเดียวที่จะชนะการโต้เถียง คือ หลีกเลี่ยงมันซะ"

- "การถาม มันเป็นอะไรที่ต้นทุนต่ำที่สุด ผมไม่สนใจว่าใครจะมองว่าผมโง่ หรือฉลาด" -เถ้าแก่น้อย-

- "สติ ทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก อคติ ทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่"

- "คมปาก อาจชนะใจใครบางคน แต่คมความคิด อาจครองใจคนได้ซีกโลก"

- "รู้ก็บอกว่ารู้ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ จึงเป็นคนฉลาด" -ขงจื๊อ-

- "การจะให้อภัยคน กี่ครั้งกี่หนก็ให้อภัยได้ บางคนให้อภัยสิบครั้งไม่กลับตัว แต่เมื่อจะให้อภัยกัน 
   ใยต้องนับจำนวน" -ขงเบ้ง- (จูกัดเหลียง)

- "ไม่มีใครฉลาดโดยปราศจากการได้รู้จักความโง่เขลามาก่อน"

- "ระหว่างผู้ที่มีความรู้มีการศึกษามากที่สุด กับผู้ที่มีความรู้มีการศึกษาน้อยที่สุด มีความแตกต่างกันในระดับ
   ที่เล็กน้อย จนไม่อาจเอ่ยอ้างได้ เมื่อเทียบกับสิ่งต่าง ๆ ที่เรายังไม่รู้"  -อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์-

- "หญ้า" ถ้ามันขึ้นอยู่ในกระถางต้นไม้ หรือสวนดอกไม้ "มัน" คือส่วนเกิน แต่ถ้า "มัน" อยู่ในทุ่งกว้าง 
   "มัน" จะสวยงาม (ในโลกนี้ไม่มีอะไรถูกผิด แค่ต้องอยู่ให้ถูกที่เท่านั้นเอง)

- "ทำตามหน้าที่ เรียกว่า รับผิดชอบ แต่ ถ้าทำมากกว่านั้น เรียกว่า มีน้ำใจ"

- "อยากรู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร ให้ดูว่าเขาปฏิบัติอย่างไร กับคนที่เขาไม่มีผลประโยชน์ด้วย"

- "ถ้าสิ่งที่กระทำสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นได้เกิดการเรียนรู้ เกิดการเปลี่ยนแปลง" 
   (นั่นคือการกระทำของผู้นำ)

- "ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้" ถูกต้อง "แต่ไม่ได้ทำเพื่อตั้งใจเอาอะไรไป 
    แต่ทำเพื่อจะทิ้งอะไรไว้ต่างหาก"

- "ความมืด ทำลายความมืดไม่ได้ แสงสว่าง เท่านั้นที่ทำได้ ความเกลียด ทำลายความเกลียดไม่ได้ 
   ความรัก เท่านั้นที่ทำได้"

- "ถ้าหากยังพอมีกำลังอย่าไปหวังที่จะพึ่งใคร เพราะต่อหน้ามันคือน้ำใจ แต่ลับหลังนั้นคือหนี้บุญคุณ"

"ภูมิปัญญาที่แท้จริง คือการรู้ว่า คุณไม่รู้อะไร" - Socrates -

"ยามต้องก้าวเดิน จำต้องดูว่าขาตนเอง ยาวเท่าไร" - Giovanni Verga -

"?เงิน? ไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกสิ่ง แต่ก็ทำให้?เกิดความแตกต่าง? ได้" - Barack Obama -

"แม้คุณจะ?กลัว? แต่คุณก็ยังทำมัน นั่นคือความกล้าหาญ?" -Neil Gaiman-

"นกมันไม่เคยกลัวว่ากิ่งไม้ที่เกาะอยู่จะหัก เพราะมันไม่ได้เชื่อมั่นในกิ่งไม้ 
   แต่มันเชื่อมั่นในปีกของมันเองต่างหาก"



11.11.55

ปลาอานนท์ มีอายุมายาวนาน เกือบหนึ่งอสงไขย์ (200 ล้านปี)

Image from Google (Chakk 2007)
อันโบราณกาล มีเรื่องเล่าขานกันว่า ปลาอานน"หรือ"ปลาอานนท์" นี่เป็นปลาที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยสร้างโลกใหม่ๆ เป็นปลาที่มีภาระหนักมาก เพราะจะต้องแบกน้ำหนักของโลกไว้" ปลาอานน มีร่างกายใหญ่โตโอฬารมากมาย     เหลือคณา เล่ากันว่าหากวัดความยาวของปลาอานนท์ นี้นับได้เป็นพันๆ โยชน์
ปลา อานน นิ่งสงบ และแบกโลกไว้ แต่อยู่มาก็อาจจะเกิดความเมื่อยขบ ก็เลยพลิกตัวบ้าง เพื่อเป็นการเปลี่ยนอิริยาบทที่ได้แบกโลกไว้ก็เลยทำให้เกิดแผ่นดินไหว ภัยพิบัติเหนือผิวโลก ลมฟ้าแปรปรวน นี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว

ปลา หิมพานต์ มีปลาใหญ่  7ตัว ชื่อตามลำดับไหล่ ติรณะ ติมิงคละ ตรปิงคละ อานนท์ นิรยะ อัชฌนาโรหะ และ มหาติมิ ปลาอานนท์ ชื่อลำดับที่ 4 ตัวใหญ่มาก หนุนชมพูทวีป เวลาแผ่นดินไหว ผู้ใหญ่เคยเล่าว่าปลาอานนท์กระดิกตัว 7 ปลาผู้ยิ่งใหญ่ ตัวเล็กที่สุด ยาว 75 โยชน์ ตัวใหญ่ ยาวถึง 5 พันโยชน์ เวลากระดิกหาง ทะเลก็จะปั่นป่วนตีฟอง ดังหม้อแกงเดือดไกลไปตั้ง 800 โยชน์ ที่น่าแปลกใจ จินตนาการโบราณ มีปลาใหญ่หนุนโลกอยู่  7ตัว วันนี้ วิชาธรณีวิทยาพบว่า แผ่นดินที่เราอยู่บนเปลือกโลกต่อกันเป็นทอดๆ 8 แผ่น ลอยอยู่บนก๊าซที่เป็นของเหลว ใกล้เคียงกับปลาอานนท์ที่หนุนโลกอยู่
Image from Google
มหานทีสีทันดร มหานที แปลว่า ห้วงน้ำใหญ่มาก สีทะ แปลว่า ทำให้ทุกๆ สิ่งจมลง อันตระ แปลว่า ระหว่าง รวมความว่า มหานทีสีทันดร แปลว่า มหาสมุทรใหญ่ที่มีน้ำละเอียดไม่มีสิ่งใดลอยอยู่ได้ ล้อมรอบภูเขาสิเนรุไปจรดภูเขาจักรวาล น้ำในมหานทีสีทันดรที่ว่าไม่มีสิ่งใดลอยอยู่ได้นั้นเพราะเป็นน้ำทิพย์ ละเอียด แม้แต่หางนกยูงที่แสนจะเบาบางเมื่อตกลงไปยังไม่อาจจะลอยอยู่ได้ น้ำในนทีสีทันดรนั้นลึกมาก บริเวณรอบเขาสิเนรุจะลึกที่สุด และลึกน้อยลงเมื่ออยู่ไกลออกไป โบราณว่าแผ่นดินไหวเพราะปลาอานนท์พลิกตัว ปลาอานนท์หรือปลาอานันทะที่ว่านี้เป็นปลาใหญ่อยู่ในมหานทีสีทันดร ซึ่งนอกจากจะมีปลาอานนท์แล้วก็ยังมีปลาใหญ่อื่นๆ อีกรวม ๘ ชนิด คือ
ปลาติมิ ใหญ่ ๒๐๐ โยชน์
ปลาติมิงคละ ใหญ่ ๓๐๐ โยชน์
ปลาติมิติมิงคละ ใหญ่ ๔๐๐ โยชน์
ปลาติมิรมิงคละ ใหญ่ ๕๐๐ โยชน์
ปลาอานันทะ ใหญ่ ๑,๐๐๐ โยชน์
ปลาติมินทะ ใหญ่ ๑,๐๐๐ โยชน์
ปลาอัชฌาโรหะ ใหญ่ ๑,๐๐๐ โยชน์
ปลามหาติมิ ใหญ่ ๑,๐๐๐ โยชน์ ปลาทั้ง 7 นี้แต่ละตัวยาว 4,000,000 วา
ด้วย ความที่เป็นปลาตัวใหญ่มากนี่เอง เมื่อปลาติมิรมิงคละกระดิกหูเพียงข้างเดียวก็ทำให้น้ำกระเพื่อมไกลถึง ๕๐๐โยชน์ หรือเมื่อกระดิกหัวหรือกระดิกหาง น้ำก็จะกระเพื่อมไปไกล ๕๐๐โยชน์เหมือนกัน ยิ่งถ้าถึงขั้นกระดิกหูพร้อมกันสองข้าง เอาหางฟาดน้ำ หรือส่ายหัวเล่นน้ำ น้ำก็จะเป็นฟองเดือดพล่านไปไกลถึง ๗๐๐-๘๐๐ โยชน์เลยทีเดียว
ในคัมภีร์พระไตรปิฎกฝ่ายมหายานมีเรื่องราวของมหานทีสีทันดรละเอียดและแปลกออกไปอีกคือ บอกว่าน้ำในนทีสีทันดรที่อยู่ระหว่างเขาสัตตบริภัณฑ์นั้นเป็นน้ำต่างชนิดกัน ๗ อย่าง คือ ๑ น้ำนม ๒ น้ำนมส้ม ๓ น้ำเนย ๔ น้ำอ้อย ๕ น้ำเหล้า ๖ น้ำจืด ๗ น้ำเค็ม เมื่อนับจากชั้นในไปชั้นนอกโดยลำดับ

มหานทีสันทันดรเป็นที่อยู่ของเทวดาจำพวกนาค เรียกว่า นาคเทวดา รวมทั้งนาคที่ไม่ใช่เทวดาด้วย ในคัมภีร์อรรถกถาพระไตรปิฎกไม่ได้พูดถึงเรื่องนาคกับครุฑรบกันเหมือนคัมภีร์ ทางศาสนาพราหมณ์ เพียงแต่พูดถึงนิดหน่อยว่าครุฑสามารถจับนาคได้ถ้าเป็นนาคต่ำศักดิ์ โดยเฉพาะนาคบนระลอกคลื่นอาจถูกพวกครุฑจับตัวได้ง่ายๆ
Image from Google
จากวรรณกรรมนิราศนรินทร์คำโคลง ยังมีบทประพันธ์ที่กล่าวถึงชื่อปลาหนึ่งในเจ็ดตัวนี้ ดังนี้
นทีสี่สมุทรม้วย หมดสาย
ติมิงคล์มังกรนาคผาย ผาดส้อน.....
ปลาอานนท์ ยังมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับตำนานไฟล้างโลกด้วย คือ เมื่อคนทั้งหลายทำบาป ไม่รู้จักบุญไม่รู้จักกรรมอันใดทั้งสิ้น ดังในคำกาพย์เรื่อง พระไชยสุริยา ของสุนทรภู่บรรยายไว้ว่า
ที่ซื่อถือพระเจ้า ว่าโง่เง่าเต่าปูปลา
ผู้เฒ่าเหล่าเมธา ว่าใบ้บ้าสาระอำ
ภิกาสมณะ เล่าก็ละพระธรรม
คาถาว่าลำนำ ไปเร่ร่ำทำเฉโก
ลูกศิษย์คิดล้างครู ลูกไม่รู้คุณพ่อมัน
ส่อเสียดเบียดเบียนกัน ลอบฆ่าฟันคือตัณหา
เมื่อ คนบาปทำบาปมากเข้า ผลของบาปก็ทำให้เกิดความแห้งแล้งไปทั่ว ฝนไม่ยอมตก แสงแดดแผดจ้า จนแหล่งน้ำทั้งหลายเหือดแห้งสัตว์น้ำต่างๆ พากันตายเกลื่อน ต่อจากนั้นก็จะเกิดตะวันขึ้น 2 ดวง ดวงหนึ่งตก อีกดวงหนึ่งก็จะขึ้นมาแทน ทำให้ไม่มีกลางคืน ความร้อนจะทำให้แห้งแล้งยิ่งขึ้น ผู้คนจะล้มตาย และคนดีจะไปสู่สวรรค์ คนเลวก็ตกนรกไป
จากนั้นก็จะมีตะวันขึ้นเป็น 3 ดวง  4 ดวง และถึง 5 ดวง ทำให้แม่น้ำใหญ่ทั้ง  5 สระใหญ่ทั้ง 7 ป่าหิมพานต์แห้งเหือดไป ฝูงสัตว์น้ำตายสิ้น น้ำในมหาสมุทรขอดเหลือเพียงข้อมือเดียว และในไม่ช้าตะวันจะขึ้นเป็น 6ดวง น้ำในมหาสมุทรแห้งสิ้น ทั่วทั้งจักรวาลร้อนระอุเหมือนอยู่ในเตาเผา ในที่สุด ตะวันขึ้นเป็น 7 ดวง พญาปลาทั้ง 7ซึ่งอยู่ในทะเลสีทันดรทั้ง 7 ชั้นก็จะละลายไหลเป็นน้ำมันติดไฟลุกไหม้ขึ้น ดังประกาศ กล่าวถึงวันสิ้นโลกว่า
นานาอเนกน้าวเดิมกัลป์ จักร่ำจักราพาฬเมื่อไหม้
กล่าวถึงตะวันเจ็ดอันพลุ่ง น้ำแล้งไข้ขอดตาย
เจ็ดปลามันพุ่งหล้าเป็นไฟ วาบจตุราบายแผ่นขว้ำ
ชักไตรตรึงษ์เป็นเผ้า แลบ่ล้ำสีละอง...
กล่าวกันว่าเมื่อไฟล้างโลกนั้น ไฟจะไหม้ทั้งกามภูมิ 11 ชั้น คือ จตุราบายภูมิ มนุษยภูมิ ฉกามาพจรภูมิ และ พรหมโลก รวมเป็น 14 ชั้น
ระยะ ไฟไหม้นั้นจะกินเวลานานถึงอสงไขย ทุกอย่างสิ้นหมดแล้วโลกก็รอเวลาสร้างขึ้นมาใหม่หมุนเวียนเปลี่ยนไปเป็นนิจนิรันดร์. (อสงไขยเป็นอนันตกาล)
เรื่องของโลก เรื่องของธรรม นั้นคล้ายกัน โลกนี้มีการเปลี่ยนแปลงมานมนาน

ท่านพระอานนท์รับพระพุทธพจน์แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง (เรื่องโลกธาตุ)ว่า อานนท์ ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์แผ่รัศมี ส่องแสงทำให้สว่างไปทั่วทิศตลอดที่มีประมาณเท่าใด โลกมีเนื้อที่เท่านั้นจำนวน ๑,๐๐๐ใน ๑,๐๐๐ โลกนั้น มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ภูเขาสิเนรุ อย่างละ ๑,๐๐๐ มีชมพูทวีป อปรโคยานทวีป อุตตรกุรุทวีป ปุพพวิเทหทวีปอย่างละ ๑,๐๐๐ มีมหาสมุทร มีมหาราช อย่างละ ๔,๐๐๐ มีสวรรค์  ๖ ชั้น และพรหมโลก ชั้นละ ๑,๐๐๐ นี้เรียกว่า สหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุ (โลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล) ดังนี้แล
Image from Google

กรณ์มงคล
KunTum
Korntaekhong